
ริต้าต้องทำกายภาพบำบัดที่ศูนย์สิรินธรอยู่เป็นประจำ และในขณะนั้นคุณอังคะณาก็ได้รับคำแนะนำจากคุณลุงท่านหนึ่งให้อ่านหนังสือ จึงได้พบเรื่องราวของน้องเอเธนส์ที่ดื่มน้ำแอคทิเวท จึงลองสั่งมาให้ริต้าดื่มเพื่อเป็นทางเลือกควบคู่ไปกับการทำกายภาพบำบัด
“ครั้งแรกที่ริต้าดื่มนั้น ดื่มครั้งละครึ่งแก้ว วันละ 3 เวลา เช้า กลางวัน เย็น เกิดมีอาการหลายอย่าง ทั้งอาการผื่นแดงขึ้นที่คอจนถึงปาก มีอาการคันร่วมด้วย ท้องเสีย ง่วงนอนทั้งวัน มีอาการแบบนี้อยู่ 2 วันเต็ม”
ผู้ที่เริ่มดื่มน้ำแอคทิเวท ระยะแรกส่วนหนึ่งจะมีอาการคล้ายริต้าแล้วหยุดดื่มไปเลย ส่วนคุณอังคะณาให้ริต้าดื่มต่อ
“พอวันที่ 3 ริต้ามีอาการหิวทั้งวัน ปกติน้ำหนักตัวของริต้าแค่ 7-8 กิโลกรัม และกินนม 3-4 ออนซ์ หลังจากลูกดื่มน้ำแอคทิเวท ได้ 4-5 วัน เขาก็กินข้าวได้เยอะขึ้นกว่าปกติ คือจากที่กินเพียง 2 มื้อก็มาเป็น 3 มื้อ และยังเคยกินนมครั้งละ 6 ออนซ์ ติดๆ กัน 2 แก้ว ก็ร้องขอกินทั้งวัน”
“หลังจากดื่มน้ำได้ 3 เดือน อาการหอบหืดก็หายไป จากปกติจะต้องใช้ยาพ่นหอบสัปดาห์ละหนึ่งถึงสองครั้ง และที่สังเกตเห็นอีกอย่างคือการนอนก็ดีขึ้นเป็นเวลา ราวๆ 2-3 ทุ่มก็จะหลับแล้วตื่นนอนอีกครั้งตอนตี 1 เพื่อกินนม และจะหลับยาวถึง 6 โมงเช้า นอนกลางวัน 1 ชั่วโมง ปกติแล้วเขาจะไม่ค่อยนอน นอกจากนี้อาการท้องผูกก็หายไป และขับถ่ายวันละ 2 เวลา”
“ตอนนี้ริต้า หน้าตาสดใสมาก มีสีเลือดฝาด น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเป็น 14 กิโลกรัม กล้ามเนื้อแขนขาแข็งแรงขึ้นมาก อารมณ์ก็ดีขึ้น ยิ้มแย้มแจ่มใส ยิ่งเวลามีคนมาคุยด้วย ริต้าก็จะสนใจฟัง”
“เวลาพาริต้าไปทำกายภาพบำบัด ครูฝึกยังทักว่าริต้าหน้าตาสดใส อารมณ์ดี ให้ความร่วมมือในการฝึกดี สนใจสิ่งรอบข้างมากขึ้น กล้ามเนื้อแขนขาแข็งแรงขึ้น น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น”
เพราะความเป็นแม่ นอกจากจะเห็นลูกมีพัฒนาการดีขึ้นแล้ว ยังต้องเสาะแสวงหาสถานที่ เพื่อบำบัดและรักษาให้ลูกดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง คุณอังคะณาได้ทางเลือกใหม่อีกทางหนึ่งนอกจากการทำ
กายภาพบำบัดที่ศูนย์สิรินธร คือการรักษาด้วยวิธีชีวโมเลกุลหรือเซลล์ซ่อมเซลล์ ที่ศูนย์โมเลกุลแห่งเอเชีย การเข้ารับการรักษาครั้งนี้คุณอังคะณาก็ยังให้ริต้าดื่มน้ำแอคทิเวท ควบคู่ไปกับการรักษาด้วย
“พาริต้าเข้าไปรักษาที่นี่เมื่อเดือนพฤษภาคม 2554 การรักษาครั้งแรกไม่มีอาการผิดปกติแต่อย่างใด”
“ครั้งที่สองเห็นผลชัดคือจากที่เขาเคยน้ำลายไหลอยู่ตลอด น้ำลายก็ไม่ไหล แผลในปาก ก็ยังหายสนิท อารมณ์ดีขึ้น นอนหลับสนิท และนานขึ้นมาก”
“ครั้งที่สาม คอแข็งขึ้น หลังแข็งขึ้น ลุกขึ้นนั่งได้นานขึ้นเพราะปกติลูกจะลุกขึ้นนั่งได้ก็จะต้องพุ่งไปข้างหน้าหรือหงายหลังล้มแรงมาก เวลาดูซีดีเพลงที่มีภาพและเสียง ดูเหมือนว่าเขาจะรู้ว่าจบตอนไหน หรือจบแผ่นก็จะบอกด้วยการส่งเสียงร้องโวยวายเพราะเขายังพูดไม่ได้”
“ครั้งที่สี่ เขาเริ่มหัดพูด เวลาพูดก็ชอบมองปากแม่แล้วพูดแต่ไม่มีเสียง เริ่มใช้มือคว้าของได้ จับขวดนมใส่ปากได้ ลุกขึ้นนั่งได้ไวขึ้น และนั่งได้นานขึ้น เวลาหิวก็จะส่งเสียงบอกได้แล้ว”
“ครั้งที่ห้า แขนขาเขาเริ่มแข็งแรงขึ้น คอตั้งตรงขึ้น หลังแข็งขึ้นแต่บางครั้งก็ยังนั่งหลังงออยู่ และพยายามพูดบ่อยมาก จะพูดได้ทีละคำ เข้าใจคำพูดของแม่มากขึ้น เข้าใจคำสั่งที่แม่สั่ง รู้จักเลือกเสื้อผ้าเอง รู้จักว่าชอบอันไหนไม่ชอบอันไหน สื่อสารได้มากขึ้น”
“ดิฉันดีใจมากที่สมองของริต้าใช้งานได้ดี และมีความจำดีขึ้นด้วย สามารถชี้ภาพสัตว์อย่างเช่น แมว หมา วัว และรู้จักสิ่งรอบข้างมากขึ้น สนใจสิ่งรอบตัวมากขึ้นรู้จักเล่นกับน้องสาวด้วย เพราะปกติริต้าจะไม่เล่นกับน้องสาวเลย จนการรักษาครั้งนี้เสร็จสิ้น ใช้เวลา 2 เดือน ดิฉันดีใจมาก”
ทุกวันนี้ริต้าอายุ 4 ขวบ 6 เดือน และมีน้องสาวอายุ 1 ขวบ 6 เดือน คุณอังคะณาให้ลูกสาวทั้งสองคนดื่มน้ำแอคทิเวท ใช้ชงนม และดื่มกันทั้งครอบครัว เป็นครอบครัวน้ำแอคทิเวท
“ลูกสาวคนเล็กเคยมีปัญหาเรื่องท้องผูกอย่างมาก เมื่อให้ลูกดื่มน้ำแอคทิเวท แทนน้ำธรรมดาและชงนมให้เขากิน ทุกวันนี้เขาขับถ่ายดีขึ้นท้องไม่ผูกแล้ว กินเก่ง ฉลาดมากๆ รู้มากกว่าเด็กรุ่นเดียวกัน”
คุณอังคะณาได้นำน้ำแอคทิเวท ไปให้กับคนใกล้ชิดได้ดื่ม เป็นต้นว่าคุณแม่สามีและคุณแม่ตนเอง
“คุณแม่สามีไม่ค่อยแข็งแรง มีอาการไออย่างมาก เหนื่อยง่าย มีอาการหอบหืด ดิฉันจึงนำน้ำแอคทิเวท ไปให้ดื่มวันละ 1 แก้ว โดยให้ท่านดื่ม 3 เวลาคือเช้า กลางวัน เย็น ท่านดื่มแล้วท้องเสีย เพลีย ง่วงนอน มีอาการอย่างนี้อยู่ 1 วัน เมื่อท่านดื่มไปได้ 2 สัปดาห์ ก็มีอาการดีขึ้น หน้าตาสดใส นอนหลับสนิท หายเหนื่อย หายไอ สามารถก้าวเดินนานๆ ได้โดยที่ไม่เป็นไร เวลาขึ้นลงบันไดก็ไม่ต้องเกาะราวบันไดขึ้นทีละขั้น ตอนนี้ท่านสามารถก้าวขึ้นได้โดยไม่ต้องเกาะ สามารถก้าวสลับขาได้เลย แข็งแรงมากขึ้น”
“คุณแม่ของดิฉันมีปัญหาเกี่ยวกับตา เมื่อนำน้ำแอคทิเวท ไปให้ท่านๆ นำไปดื่ม และใช้ล้างหน้าและลืมตาในน้ำแอคทิเวท แทนน้ำธรรมดา ทำอย่างนี้อยู่ 2 สัปดาห์ ท่านก็บอกกับดิฉันว่าแต่เดิมดูทีวีแต่ละครั้งต้องหยีตา ดูหนังสือก็ต้องใส่แว่น แต่ตอนนี้ไม่ต้องใส่แล้ว แถมยังมองเห็นตัวหนังสือชัดแจ๋ว ท่านดีใจมาก”
“ต่อมาทางโรงพยาบาลได้ติดต่อให้คุณแม่ไปรับการผ่าตัดต้อกระจกที่ท่านเป็น จึงต้องไปพบหมอ เพื่อนัดวันผ่าตัด ผลตรวจออกมาคุณหมอตรวจแล้วไม่พบต้อกระจกที่ตาดำ แต่ยังมีขอบขาวอยู่รอบนอกของตาดำ สิ่งที่คุณหมองงคือ ต้อกระจกที่แม่เป็นนั้นหายไปได้อย่างไร สรุปคือคุณแม่ไม่ต้องผ่าตัดต้อกระจกอีก เหลือแต่ที่รอบตาดำวงรอบเท่านั้นที่ไม่เป็นอันตรายอะไร”
คุณอังคะณาเห็นคุณแม่นำน้ำแอคทิเวท มาใช้แล้วก็ลองเอามาทำตามบ้าง
“เพราะปกติดิฉัน สายตาสั้นข้างละ 250 และยังสายตาเอียง ดิฉันนำมาทำตามได้ 1-2 สัปดาห์ก็รู้สึกได้ว่าสายตาที่มีปัญหาเวลาขับรถกลางคืนจะเป็นฝ้า มักมองไม่ถนัด และแสบตา เมื่อลืมตาในน้ำด้วยน้ำแอคทิเวท ตาก็ดีขึ้น ขับรถตอนกลางคืนเห็นชัด ไม่ปวดตา หรือแสบตาเหมือนก่อน สายตาที่เคยสั้นเดี๋ยวนี้อ่านหนังสือโดยที่ไม่ต้องใส่แว่นแถมอ่านได้เป็นเล่มๆ”
ลูกสาวฉันพิการทางสมอง แต่หัวใจไม่พิการ
ผู้เล่าเรื่อง อังคะณา
อาชีพ ค้าขาย